วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2561

แพทย์เตือน "แป้งฝุ่น" ภัยเงียบ "ภูมิแพ้-เนื้องอก-มะเร็ง"!!?

แพทย์เตือน "แป้งฝุ่น" ภัยเงียบ "ภูมิแพ้-เนื้องอก-มะเร็ง"!!?

เผยแพร่:


โบกเข้าไป ให้มันหนาๆ หน้า - ตัวขาวๆ อันตรายซ่อนอยู่ แพทย์เตือน ระบบทางเดินหายใจอักเสบ - อาจเกิดภูมิแพ้ได้

แพทย์ชี้ ไม่แนะนำ “ให้ทาแป้ง”

หลายๆ คนคงเคยเห็นคลิปที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งแชร์คลิปเล่นมุกเขย่าแป้งในมือ จนเลอะหน้าเด็ก ขาววอกไปทั้งหน้า จึงเป็นประเด็นที่ทำให้สังคม ต่อว่าการกระทำที่ไม่เหมาะสมนี้ เพราะอาจทำให้เด็กเป็นโรคภูมิแพ้ได้

ทางทีมข่าว ผู้จัดการ Live จึงได้ต่อสายตรงไปยัง รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช เพื่อให้ช่วยชี้แจงเรื่องการใช้แป้งในเด็ก และการเกิดภูมิแพ้



“ใช้แป้งกับเด็กบ่อยๆ มีโอกาสทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้ได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เช่น เด็กที่แพ้ผงแป้งก็จะกระตุ้นให้มีอาการได้มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทุกคน ถ้าคนที่ไม่มีโอกาสจะเป็นมันก็ไม่เป็น มีโอกาสเป็นสำหรับเด็กที่มีโอกาสจะเป็นอยู่แล้ว

เพราะว่าภูมิแพ้ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ บางครั้งได้รับสารก่อภูมิแพ้เดียวกันไป บางคนไม่เป็น เพราะไม่มีโอกาสจะเป็น แต่บางคนเป็น เพราะได้ยีนที่มีโอกาสจะเกิดภูมิแพ้ พอได้สูดดมเข้าไปก็เลยเกิดเป็นภูมิแพ้”

ปัจจุบันไม่มีการแนะนำให้ใช้แป้งทาตัวเด็กแล้ว เนื่องจากแป้งทาตัวเด็กที่นิยมใช้กันอยู่ทั่วไป ผลิตจากแร่หินชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ทัลค์ (Talc) หรือเรียกว่า แป้งทัลคัม (Talcum Powder) การฟุ้งกระจายของผงแป้ง เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ



เมื่อสูดดมทัลคัมเข้าไปในปริมาณมาก มีผลต่อร่างกาย เช่น ปอด เพราะอาจทำให้เกิดอาการไอ หายใจติดขัด ระบบทางเดินหายใจอักเสบ หรือติดขัดอย่างรุนแรง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของภูมิแพ้ ปอดอักเสบ เกิดเป็นโรคเนื้องอกในปอด (Talcosis) และเสียชีวิตได้ เนื่องจากแป้งทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายได้

“ไม่แนะนำให้ใช้แป้งฝุ่น เพราะว่าเวลาสูดดมเข้าไปในปอด มันมีผงแป้งที่ทำจากทัลคัมเข้าไปอยู่ในปอด ไม่ใช่แค่เป็นภูมิแพ้ เวลาเราหายใจเข้าไปมันจะมีผงแป้งไปตกตะกอนอยู่ในปอด อาจเป็นสารก่อมะเร็ง แอสเบสตอส (Asbestos) ไม่ใช่เฉพาะในเด็ก ผู้ใหญ่ที่ใช้แป้งฝุ่นก็มีโอกาสเป็น เพราะเวลาใช้แป้งฝุ่นมันฟุ้งกระจาย ทำให้เรามีโอกาสสูดดมเข้าไป”

ติดแป้ง ทาได้ ควรใช้แต่พอดี

อย่างไรก็ตาม การใช้แป้งทาตัวเด็กควรใช้ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป เวลาที่จะทาแป้งนั้น ควรเทแป้งลงบนฝ่ามือก่อน อย่าไปเทใกล้หน้าเด็กหรือเทแรงจนฝุ่นแป้งคลุ้ง หรืออาจเลือกใช้แป้งอัดแข็งสำหรับเด็กทารก มีราคาสูงกว่าแป้งเด็กทั่วไปอยู่บ้าง แต่จะไม่มีปัญหาเรื่องฝุ่นฟุ้งกระจาย

ส่วนเรื่องการทาตามร่างกาย แพทย์ท่านเดิมยังกล่าวอีกด้วยว่า ควรทาแป้งแค่บางส่วนของร่างกายก็พอ ไม่ควรทาตรงอวัยวะเพศ และควรทาบางๆ ไม่ควรตบแป้งให้มีฝุ่นฟุ้งกระจาย

“การทาแป้ง ควรทาแค่บางอวัยวะเพราะตามข้อพับที่คนชอบทาเพื่อลดความอับชื้นนั้น บางทีตัวแป้งนั้นจะดูดความชื้นเข้าไป ซึ่งจะแห้งตอนแรกๆ เพราะแป้งดูดน้ำไว้นิดเดียว พอแป้งดูดเกินส่วนของมันแล้ว ก็ดูดความชื้นเอาไว้ด้วย ทำให้มันชื้นมากกว่าเดิม อย่างเช่น เด็กอ้วนพ่อแม่ชอบทาแป้งให้เยอะๆ เพื่อลดความอับชื้น นั่นเป็นวิธีที่ผิด



ตอนนี้ไม่แนะนำให้ใช้แล้ว ถ้าบางคนยังอยากใช้อยู่ก็ต้องใช้อย่างเหมาะสม วิธีที่ใช้อย่างเหมาะสมคือ เวลาที่โรยแป้งอย่าให้มันฟุ้งกระจาย เพื่อไม่ให้เข้าไปในปอด ทาให้บางที่สุด ไม่แนะนำให้พอกโปะๆ โบกๆ เข้าไป

ขณะเดียวกัน นพ.พลพงศ์ ชยางศุ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน โสต ศอ นาสิก รพ.เลิดสิน ได้กล่าวถึงกรณีการใช้แป้งไว้อีกด้วยว่า องค์ประกอบของแป้งไม่ได้เป็นสารก่อภูมิแพ้โดยตรง แต่เกิดจากสารทัลค์ หรือทัลคัม ที่เราสูดดมเข้าไป แล้วไปอุดอยู่ทางเดินหายใจ ซึ่งกระตุ้นทำให้เกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ

“ในทางการแพทย์จริงๆ แล้วไม่ต้องทาแป้งเลยก็ได้ หมอก็ไม่แนะนำ ควรจะเลี่ยง แต่ถ้าใครอยากทาก็สามารถทาได้ ทาเยอะก็มีโอกาสเกิดการอักเสบของผิวหนังได้ ดังนั้นแนะนำให้ทาบางๆ แต่ก็มีโอกาสเป็นภูมิแพ้ หรือเกิดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจได้อยู่ดี ยังไงมันก็ดูดความชื้นเพราะเข้าไปติดกับผิวหนังของเรา



เมื่อเด็กเกิดความอับชื้น ไม่ต้องทาแป้ง แต่แก้ด้วยวิธีนี้ คือ อาบน้ำให้บ่อยขึ้น อาบน้ำให้สะอาด เช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าที่โปร่ง เบา สบาย อากาศถ่ายเทได้ เวลาที่มีเหงื่อก็ให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ด เพื่อลดความอับชื้น”

ส่วนความกังวลใจว่าในบริเวณข้อพับต่างๆ จะอับชื้น หากไม่ได้ทาแป้งนั้น แนะนำให้ใช้ปิโตรเลียมเจลลี ทาลงไปที่บริเวณข้อพับแทนการทาแป้ง ปิโตรเลียมเจลลีจะเคลือบผิวทำให้ผิวบริเวณที่ทาลื่น ความชื้นเกาะไม่อยู่

ทั้งนี้อันตรายจากการทางแป้งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ที่ใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งพัฟ ก็มีโอกาสเกิดเป็นโรคเหล่านี้ได้ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการใช้แป้ง หรือใช้แป้งที่ไม่มีส่วนผสมของทัลคัมนั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทุ่งดอกเวอร์บีนา สีม่วงสดใส สะพรั่งกลางทะเลหมอก ที่ม่อนแจ่ม เที่ยวเชียงใหม่

ทุ่งดอกเวอร์บีนา สีม่วงสดใส
สะพรั่งกลางทะเลหมอก ที่ม่อนแจ่ม


เที่ยวเชียงใหม่ ไปได้ทุกฤดูกาลจริงๆ นะ โดยเฉพาะหน้าฝนที่มอบความชุ่มชื้นให้ธรรมชาติกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ที่นอกจากป่าเขาเขียวขจีแล้ว ดอกไม้ยังพร้อมใจกันเบ่งบาน อวดสีสันสดสวย รวมถึง ทุ่งเวอร์บีนา บนยอดดอยม่อนแจ่มนี้ก็ด้วย ช่วงนี้กำลังม่วงสะพรั่งเต็มภูเขา หวานละมุนราวกับทุ่งลาเวนเดอร์เลยทีเดียว


ท่ามกลางทิวทัศน์ของหุบเขา หมอกขาวที่ลอยฟุ้งปกคลุมทั่วบริเวณ ตัดกับสีม่วงของมวลหมู่ดอกไม้ที่พริ้วไหวตามแรงลม กลิ่นอายของหยาดฝน กับอากาศที่เย็นสบายตลอดวัน บรรยากาศนี่ฟินมากบอกเลย แถมถ่ายภาพออกมาก็แหล่มสุด ><


นอกจากทุ่งเวอร์บีนา นางเอกแห่งม่อนแจ่ม นักท่องเที่ยวยังได้ชมทุ่งดอกบัวดิน ไร่สตอร์เบอร์รี่ แปลงกะหล่ำ และแปลงผักอินทรีย์ ของชาวเขาเผ่าม้ง ซึ่งปลูกเป็นขั้นบันไดลดหลั่นเป็นแถวยาวจนสุดสายตา แล้วยังมีรถฟอร์มูลาร์ม้งให้ขี่ลงเนินกันแบบเสียวๆ อีกด้วย


ถ้าใครเมื่อยก็ไปนั่งพักจิบชา กาแฟ บริเวณซุ้มไม้ไผ่ ที่สร้างเรียงชิดติดกันหลายๆ หลัง พร้อมทอดสายตามองวิวแจ่มๆ ตรงหน้า เห็นขุนเขาสลับซ้อนและธรรมชาติกว้างไกลสุดสายตา




วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Albert Hammond - It Never Rains In Southern California (1973) HD 0815007


วันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ประวัติย่อการล่าสัตว์ของมนุษย์


        เด็้กหญิงวัย 13 ปีจากสหรัฐฯ นำซากบอนทีบอก (bontebox) กลับค่ายพักแรมในอีสเทิร์นเคป ประเทศแอฟริกาใต้ เธอยิงแอนทิโลปตัวนี้ได้เมื่อปี 2010 และเก็บหนังกับเขาไว้เป็นอนุสรณ





 ปี 2016 พรานชาวเยอรมัซึ่งยิงกวางดูดูไปแล้ว ฆ่าช้างเพศผู้อายุมาก เหล่าพรานให้เหตุผลว่าการฆ่าสัตว์เพศผู้อายุมากทำอันตรายชนิดพันธุ์นั้นๆ น้อยที่สุด แต่จอยซ์ พูเลอ นักชีววิทยา แย้งว่า “ช้างเพศผู้อายุมากมีบทบาทสำคัญที่สุดในโขลง”

 พรานฝึกหัดวัย 15 ปีมาฝึกภาคสนามที่ไร่เอฟทีดับเบิลยูในรัฐเทกซัสเมื่อปี 2016 ก่อนจะลงสนามล่าจริง


          “เราเป็นผู้บริโภคธรรมชาติมากกว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” – ไมเคิล แพเทอร์นิที
กระดูกสันหลังของช้างแมมมอทขนยาวซึ่งพบตรงบริเวณที่แม่นํ้าออบและแม่นํ้าอีร์ติชไหลมาบรรจบกันดูเหมือนว่าถูกแทงด้วยอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยมีร่องรอยของสะเก็ดหินอยู่ภายในกระดูกชิ้นหนึ่ง เป็นหลักฐานการล่าสัตว์แรกสุดที่แสดงว่าช้างถูกฆ่าด้วยนํ้ามือมนุษย์ ซึ่งสืบย้อนกลับไปถึงไซบีเรียเมื่อเกือบ 14,000 ปีก่อน
    ทว่าการล่าสัตว์เป็นมากกว่าเครื่องตอบแทนเพื่อการยังชีพ เพราะเมื่อถึงยุคหนึ่งการล่าสัตว์กลายเป็นเครื่องแสดงสถานะในสังคมความเป็นชายและพลังอำนาจ  ภาพสลักของชาวอัสซีเรียเมื่อ 650 ปีก่อนคริสตกาล แสดงภาพสิงโตกำลังถูกปล่อยจากกรงเพื่อให้กษัตริย์ที่ทรงรถม้าฆ่า  ขณะที่ชาวมาไซฆ่าสิงโตในพิธีเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นผู้ใหญ่มาช้านานแล้ว เป็นต้น
    เมื่อมีอาวุธดีขึ้น การล่าสัตว์ยังวิวัฒน์เป็นกีฬาที่มีการแบ่งชนชั้นและบางครั้งเป็นตัวอย่างอันร้ายกาจของ ความสูญเปล่า ในบันทึกจากปี 1760 ของชไนเดอร์เคาน์ตี รัฐเพนซิลเวเนีย พรานสองคนยิงสัตว์ป่ามากกว่าหนึ่งพันตัว เมื่อล่วงเข้าสู่ปลายศตวรรษที่สิบแปด พรานนิรนามชาวอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ คู่มือนักกีฬา หรือ ความเรียงเรื่องการยิงสัตว์ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการล่าสัตว์อย่างยุติธรรมและบรรยายถึง “กฎเกณฑ์สำหรับสุภาพบุรุษ” รวมถึงการจำกัดจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่า ในปี 1887 เทโอดอร์ (เท็ดดี) โรสเวลต์ ก่อตั้งชมรมบูนและคร็อกเกตต์ อันเป็นการรวมตัวของกลุ่มพรานผู้ทรงอิทธิพลชาวอเมริกัน และต่อมามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งระบบอุทยานแห่งชาติของสหรัฐฯ
   
    ต่อมาในปี 1934 ที่โรงแรมนอร์ฟอล์กในกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา พรานชาวผิวขาวก่อตั้งสมาคมพรานอาชีพ แอฟริกาตะวันออกขึ้น สมาคมนี้ประกาศหลักเกณฑ์ เกียรติยศ และผลักดันให้ออกเป็นกฎหมายและระเบียบข้อบังคับ รวมถึงการห้ามยิงสัตว์เพศเมียเกือบทุกชนิด  การยิงสัตว์ใกล้แหล่งนํ้าหรือใกล้ยานพาหนะ ขณะที่สมาชิกทำงานเพื่ออนุรักษ์พื้นที่ล่าสัตว์ พวกเขากำจัดสัตว์จำนวนมากไปจากแอฟริกา           ปัจจุบันเทคโนโลยีรุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดดด้วยการใช้โดรน วิดีโอบันทึกการล่าสัตว์ และปืนไรเฟิลแรงสูงติดตั้งเครื่องวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์
     ขณะเดียวกัน “ภาพถ่ายกับซาก” (kill shot) ซึ่งเป็นภาพถ่ายของพรานคู่กับสัตว์ที่ล่าได้ปลุกเร้าความรู้สึกต่อต้านและรังเกียจในหมู่นักรณรงค์ด้านสิทธิสัตว์และสาธารณชนทั่วไป ผู้คนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อวอลเทอร์ พาล์เมอร์ ทันตแพทย์ชาวมินนีแอโพลิส ล่าและฆ่าเซซิล สิงโตชื่อดังในซิมบับเว เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2015 เรื่องอื้อฉาวทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ปี 2017 เมื่อซานดา ลูกเพศผู้ของเซซิลถูกยิงในการล่าเพื่อเป็นรางวัลอย่างถูกกฎหมาย
     ในแอฟริกาใต้ซึ่งมีสิงโตป่าประมาณ 2,000 ตัว การล่าสิงโตเลี้ยงเติบโตกลายเป็นอุตสาหกรรมมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีไร่หรือฟาร์มกว่า 200 แห่งเลี้ยงสัตว์วงศ์แมวขนาดใหญ่เหล่านี้ประมาณ 6,000 ตัว เพื่อให้ฆ่าได้อย่างง่ายๆ  เอียน มิคเลอร์ ผู้จัดซาฟารีและช่างภาพชาวแอฟริกาใต้ผู้สืบหาความจริงเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิงโตเลี้ยงให้ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง สิงโตเลือด (Blood Lions) ระบุว่า บางครั้งสิงโตถูกขังและขยายพันธุ์ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย  ลูกสิงโตถูกพรากจากแม่เพื่อส่งไปสวนสัตว์  เมื่อสิงโตเพศผู้เติบโตจนเต็มวัยหลายตัวถูกยิงและฆ่าแลกกับค่าธรรมเนียม “การล่าสัตว์” ที่ถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับการล่าสิงโตป่าในทริปมาตรฐาน 21 วัน (5,000 ถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐและสูงกว่านั้น) ทั้งยังแทบรับประกันได้ว่าคุณล่าได้อย่างแน่นอน “น่าตกใจจริง ๆ ครับ พฤติกรรมนี้วิปลาสไปแล้ว”
    การล่าสัตว์ที่เลี้ยงมาเพื่อล่าโดยเฉพาะนี้ส่งผลกระทบเลวร้ายอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือขณะที่พรานได้ผืนหนังและหัวสัตว์ไปเชยชมอย่างมีความสุข  ทุกวันนี้กระดูกกลับเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุด โดยจะถูกส่งไปเอเชียเพื่อปรุงเป็นยาแผนโบราณหรือยาโป๊ว  ปี 2017 แอฟริกาใต้อนุญาตให้ส่งออกโครงกระดูกสิงโตมากถึง 800 โครงนักชีววิทยา กลุ่มนักอนุรักษ์ และนักรณรงค์ด้าน สิทธิสัตว์แสดงความวิตกว่า การที่แอฟริกาใต้อนุญาตให้ค้าและทำให้การค้าชิ้นส่วนสิงโตเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์หรือความต้องการกระดูกสิงโตมากขึ้น และอาจทำให้สิงโตในธรรมชาติที่เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ตัวของแอฟริกาถูกฆ่ามากขึ้น