วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

‘Omega Speedmaster’ กว่าจะเป็นนาฬิกาของนักบินอวกาศ


 


ทั้งหมดนี้ไม่ใช่จะโฆษณาสินค้าอะไรนะครับ แค่อยากจะแสดงให้เห็นว่าแค่นาฬิกาเรือนเดียวยังต้องทดสอบกันจริงจังขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นตัวจรวด ตัวยานอวกาศเขาจะต้องทดสอบกันจริงจังขนาดไหนครับ

เลยขอชวนทุกท่านคิดเล่นๆ ดูว่าถ้าเราจะส่งยานอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์ภายใน 7 ปี ตอนนี้เราควรจะเริ่มตรงไหนก่อนดีครับ ???

        ท่านประธานาธิบดีไบเดน เป็นคนชอบนาฬิกา และมีนาฬิกาที่ใส่ติดข้อมือเป็นประจำซึ่งอยู่เรือนหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ใช่ Made in USA แต่ก็ถือว่าเป็นยี่ห้อที่คนอเมริกันรับได้และผูกพัน นั่นก็คือ Omega รุ่น Speedmaster

  • Omega กับ สหรัฐอเมริกา

สาเหตุที่คนอเมริกันรู้จัก Omega อย่างเป็นทางการน่าจะเพราะว่า ในช่วงต้นทศวรรษ 60 เป็นต้นมา องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ได้คัดเลือกนาฬิกายี่ห้อนี้เป็นนาฬิกาประจำตัวของนักบินในโครงการสำรวจอวกาศทั้งหมดของ NASA และต่อมาในปี 1969 นาฬิกา Omega ก็ดังระเบิดพร้อมๆ กันกับความสำเร็จของ NASA ในภารกิจ Apollo 11 ที่สามารถนำนักบินอวกาศลงไปเหยียบพื้นผิวของดวงจันทร์ได้เป็นครั้งแรกและ Omega ก็เป็นนาฬิกาข้อมือที่นักบินอวกาศใส่ลงไปสร้างประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ชาติครั้งนั้น

และ Omega รุ่นที่นักบินอวกาศใช้ก็คือรุ่น Speedmaster รุ่นเดียวกับที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ใส่ติดข้อมือนั่นเอง  จากความสำเร็จดังกล่าว Omega ก็เพิ่มสโลแกนประจำยี่ห้อและเพิ่มคำสลักลงบนนาฬิการุ่น Speedmaster ว่า “The first watch worn on the Moon” เป็นจุดขายจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นเราจะเห็นว่าในโฆษณาของนาฬิกายี่ห้อนี้มักจะมีภาพนักบินอวกาศ หรือยานอวกาศของสหรัฐปรากฎอยู่ด้วยกันจนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของความภูมิใจคู่กับชาวอเมริกันไปแล้ว

  • บททดสอบสุดโหดก่อนท่องอวกาศ

การสรรหานาฬิกาสำหรับนักบินอวกาศนั้น NASA มีมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างดุดันเพื่อรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่จะต้องเผชิญในระหว่างการเดินทางไปดวงจันทร์ ทั้งหมดมีด้วยกัน 11 ข้อ แบบดุดัน ซึ่งจะขออนุญาตสรุปพอให้ได้อรรถรสนะครับ ท่านใดที่สนใจแบบละเอียดรบกวนต้องไปอ่านในคู่มือของ NASA อีกทีนะ จริงๆ น่าสนใจแต่ต้องมีความรู้เรื่องมาตรฐานแรงกดอากาศและสูตรคำนวณต่างๆ แบบลึกจริงๆ เอาเป็นว่าผมขอสรุปพอสังเขปตามนี้ครับ

  1. ทดสอบในอุณหภูมิสูง :นาฬิกาจะต้องผ่านอุณหภูมิที่สูงระดับ 70 °C ติดต่อกันเป็นเวลา 48 ชั่วโมงจากนั้นจะเพิ่มอุณหภูมิเป็น 93 °C อีก 30 นาที ภายใต้แรงดัน 5.5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และความชื้นไม่เกิน 15(อุณหภูมิเฉลี่ยบ้านเรานี่ปกติจะประมาณ 18-38 องศา °C และที่สหรัฐฯ จะประมาณ -8 – 34 °C นะครับ)
  2. ทดสอบในอุณหภูมิต่ำ : นาฬิกาจะต้องผ่านอุณหภูมิ -18 °C เป็นเวลา 4 ชั่วโมง
  3. การทดสอบอุณหภูมิร่วมกับความกดและแรงดันอากาศ : นาฬิกาจะถูกพาไปในหอควบคุมความกดอากาศ คงสภาพในความกดอากาศสูงสุดที่ใกล้เคียงสภาพนอกชั้นบรรยากาศของโลก เพิ่มอุณหภูมิไปที่ 71 °C เป็นเวลา 45 นาทีก่อนที่จะกระชากอุณหภูมิลงมาที่ -18 °C เป็นเวลาอีก 45 นาที ทำกลับไปกลับมาแบบนี้ 15 รอบ
  4. ทดสอบในสภาพอุณหภูมิที่ปรวนแปร : นำนาฬิกาไปอยู่ในหออุณหภูมิที่ปรับให้สวิงไปมาระหว่าง 20 °C กับ 70 °C ในความชื้นและแรงดันอากาศตามมาตรฐาน NASA เป็นเวลา 240 ชั่วโมง
  5. ทดสอบบรรยากาศออกซิเจน : นาฬิกาต้องอยู่ในระดับออกซิเจน 100 ที่แรงกด 5.5 ปอนด์ต่อตารางนิ้วเป็นเวลา 48 ชั่วโมง โดยที่ทุกชิ้นส่วนของนาฬิกาจะไม่เสื่อมสลาย ไม่ไหม้ไฟ ไม่เป็นสารพิษ ส่งกลิ่นเหม็น
  6. ทดสอบความทนแรงกระชาก : NASA จะจับนาฬิกาใส่ลงในเครื่องทดสอบแรง Shock ในระดับ 40 Gs และพาเคลื่อนไปทุกทิศทุกทางในทุกๆ 11 มิลลิวินาที

  1. ในวันที่ 1 มีนาคม 1965 การทดสอบทั้งหมดก็เสร็จสมบูรณ์ ‘Omega Speedmaster’ 

  2. ผ่านการทดสอบเพียงเจ้าเดียวแล้วได้เป็นนาฬิกาของนักบินอวกาศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในความเป็นจริงการทดสอบทั้งหมดไม่ได้ตั้งใจจะให้มีนาฬิกาแบบไหนที่จะผ่านออกมาในสภาพสวยหรู แต่เป็นการทดสอบว่าวัสดุและการประกอบของนาฬิกายี่ห้อไหนจะเสียหายน้อยที่สุดและยังคงเหลือสภาพใช้งานได้ในภารกิจท่องอวกาศ ตามรายงานของ NASA ระบุว่า Speedmaster สูญเสียความแม่นยำเล็กน้อยในห้วงสุญญากาศ และพรายน้ำมีรอยไหม้เมื่อเจอความร้อนสูง แต่ยังอยู่ในสภาพที่ไม่เกิดความเสียหาย
  3. ทดสอบความทนทานต่ออัตราเร่ง : อันนี้นาฬิกาจะถูกกระชากขึ้นตามแนวดิ่งจากอัตราเร่ง 1 ถึง 7.25 ภายในเวลา 333 วินาที
  4. ทดสอบการบีบอัดในระบบสูญญากาศ : นาฬิกาจะต้องใช้เวลา 90 นาทีในอุณหภูมิ 71 และอีก 30 นาทีในอุณหภูมิ 93 พร้อมกำลังอัดเสมือนในอวกาศ
  5. การอดทนต่อแรงดัน : นาฬิกาจะต้องเจอแรงอัดที่ 23.5 ปอนด์ต่อหนึ่งตารางนิ้ว เป็นเวลามากกว่า 1 ชั่วโมง
  6. ทดสอบแรงสั่นสะเทือน : จับนาฬิกาเข้าระบบเขย่าตั้งแต่แรงสั่นสะเทือน 5- 2000 cps สลับไปมาทุกๆ 5 นาที เป็นเวลา 30 นาที และทำต่อเนื่องกัน 3 รอบ ในค่าแรง ไม่น้อยกว่า 8.8
  7. ทดสอบความคงทนต่อเสียง : ทุกท่านคงทราบกันอยู่แล้วนะครับว่าคลื่นเสียงมีอานุภาพที่ร้ายแรง ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจ NASA จะต้องนำนาฬิกาไปทดสอบกับเสียงในระดับ 130 เดซิเบล ในคลื่นความถี่ระหว่าง 40 – 10,000 Hz เป็นเวลา 30 นาที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น